NCDs Reality ตอนที่12 : หนึ่งวันที่เปลี่ยนไป
ครั้งที่แล้ว NCDs Reality ตอนที่11 ได้เรียนรู้เรื่องการเลิกเหล้า คลิปนี้มาติดตามอาสาสมัครทั้ง 6 คนว่า ปัจจุบันมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน แล้วดีขึ้นอย่างไร พวกเขายังสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้โดยไม่ฝืน และมีความสุขขึ้น พวกเขาทำอย่างไร ลองติดตามกันค่ะ
สรุป NCDs Reality ตอนที่12 : หนึ่งวันที่เปลี่ยนไป
ข้อความบน Line เปิดรายการ
“ไปสูบบุหรี่กัน”
“ไม่เอา เราเลิกแล้ว”
“งั้นคืนนี้ไปกินเหล้าร้านป้าจิ๋วกัน”
“ไม่ดีกว่า เรานัดเพื่อนเตะบอลไว้ อีกอย่างเราเลิกกินเหล้าแล้วด้วย”
“งั้นเตะบอลเสร็จแล้ว แวะไปกินเค้กกัน”
“ไม่เอาอ่ะ เราลดหวานอยู่”
“โห…เปลี่ยนไปเยอะเลยนะทำได้ยังไงเนี่ย”
“ไม่ยากหรอกถ้า “รัก” มากพอ”
.
ทั้ง 6 อาสาสมัครล้วนมีหน้าที่การงาน วิถีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ผลักดัน ให้เข้าสู่เส้นทางการเปลี่ยนแปลง การต่อสู้กับความเคยชิน การหักห้ามใจกับรสชาติที่คุ้นลิ้น นำพาให้ 6 อาสาสมัครมีวันนี้ กับหนึ่งวันที่เปลี่ยนไป ดังนี้
คุณเจน (ภรรยา) และคุณ สุพิเชษฐ์ สุจารีรัตน์(สามี) อายุ 33 ปี
เมื่อก่อน : มื้อเช้าเป็นแซนวิช ถ้าเด็กๆกินเหลือ เราก็กิน
ปัจจุบัน : ตื่นมา 6 โมงเช้า เตรียมอาหารเช้าให้เด็กๆ และพวกเราเอง สำหรับวันนี้เป็น แกงจืด ใส่หมูสับ แครอท ฟักทอง สาหร่าย เต้าหู้ คุณย่าสอนมา แล้วใส่กล่องไปทานในรถ ขาไปส่งเด็กๆ คุณพ่อจะเป็นคนขับรถ คุณแม่กับเด็กๆก็นั่งกิน พอขากลับคุณแม่เป็นฝ่ายขับรถ แล้วคุณพ่อค่อยนั่งกิน
วันนี้ระหว่างทางกลับบ้าน ก็มีแวะซื้อขาหมู ที่ไม่ได้ทานมา 3 เดือนแล้ว คือเมื่อก่อน จะกินประจำ จนไม่ต้องสั่งอะไรมาก แค่ชูสองนิ้ว พ่อค้าก็เข้าใจ คือ เนื้อติดมันเยอะๆ แต่ปัจจุบัน เวลาสั่งจะกำกับว่า เอาขาหมูเนื้ออย่างเดียว เนื้อล้วน ไม่เอาหนัง ขอเพิ่มผัก ไม่เอาผักกาดดอง
ชีวิตประจำวัน สำหรับคุณพ่อ พอกลับมาถึงบ้านก็ นั่งอ่านข่าวหน้าคอม ดูของดูสินค้า เสร็จก็ไปนั่งหน้าทีวีออกกำลังกาย กายบริหารหน้าทีวี ดีกว่านั่งเฉยๆ นั่งซิทอัพ นั่งเกร็งหน้าท้อง สำหรับคุณแม่ ปกติก็ชอบออกกำลังกายวิ่งหน้าบ้าน แต่บางครั้งเวลามันไม่อำนวย หรือช่วงนี้ฝนตกบ่อย ก็เลยซื้อลู่วิ่งมาที่บ้านซะเลย วิ่งไปดูทีวีไป ก็เพลิน
ตอนนี้พอใจกับชีวิตแบบนี้มาก คือไม่อยากจะเชื่อว่าทำได้ยังไง ก็มานั่งคิดว่าทำไมเมื่อก่อนนี้ทำไม่ได้ ก็เมื่อก่อนเราไม่ต่อเนื่องเอง ไม่มีกำลังใจจากเขา แต่ตอนนี้เราช่วยๆกัน กำลังใจจากลูกๆอีก เลยทำได้
ซื้อลู่วิ่งมา แต่ตัวคุณพ่อไม่ค่อยได้ใช้ ชอบไปวิ่งข้างนอกมากกว่า แต่คุณแม่เจนจะใช้บ่อย
ตอนเย็นพอรับเด็กๆ กลับจากโรงเรียน ก็ให้เขาไปว่ายน้ำก่อน พอหิว ก็จะทานข้าวเย็นตอน ห้าโมงครึ่ง
พวกผักแบบนี้ เมื่อก่อนไม่เคยกินอะไรแบบนี้เลย แต่เดี๋ยวนี้ ซื้อผักสลัดมา จนสนิทกับแม่ค้าเลย เขามาส่งถึงบ้านเลยด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนมื้อเย็น ก็จะกินหนัก ของมัน ของทอด ทุกอย่าง เดี๋ยวนี้จะมีสลัดผักเป็นของตัวเอง อกไก่อบ ข้าวนิดหน่อย ปลานึ่ง
.
คุณ ภูริวัจน์ ธรรมอัครวิทย์ (นัท) อายุ 34 ปี
เมื่อก่อนนี้ เป็นคนเฮฮาปาร์ตี้ ทุกวัน เป็นกิจวัตรประจำวันเลยคือ กินเหล้า สูบบุหรี่ ทุกวันจริงๆ แล้วทั้งวันด้วย บุหรี่วันละซอง เหล้าวันละแบน
ตรวจสุขภาพครั้งแรกพบ LDL สูง หมอบอกว่า บุหรี่ทำให้ไขมันดีต่ำ แต่ไขมันตัวร้ายสูงขึ้น
ปัจจุบัน ไม่ได้รู้สึกอยากสูบบุหรี่อีกเลย ก็ใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้ต้องพยายามหานู่นนี่มาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ได้คิดอยากสูบอยู่ กลายเป็นว่าไม่ได้รู้สึกว่า ต้องมีอะไรมาทดแทนช่วงเวลาที่เราต้องสูบอีกแล้ว ไม่ได้ฝืนแล้วตอนนี้
เดี๋ยวนี้ไม่ได้กินเหล้าตอนเย็นแล้ว ก็มีเวลาทบทวนการงาน มีเวลาออกกำลังกาย กับภรรยาที่สวน เล่นโยคะกับคุณแม่
ที่เปลี่ยนได้เนี่ยะก็เพราะภรรยา อยากเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ครอบครัว
ก็อยากฝากให้คนอื่นๆ ที่ใช้ชีวิตเหมือนผมเมื่อก่อน ได้ลองคิดทบทวน ได้ดูพฤติกรรมตัวเอง เชื่อว่าทุกคนรู้ว่ามันไม่ดี มีแต่เสียกับเสีย เสียเวลา เสียสมอง แต่ถ้าคิดจะเปลี่ยนได้มันก็จะดีกับทุกคน
เรื่องสูบบุหรี่ ผมเชื่อว่าตัวเองทำสำเร็จแล้ว แต่ทางการแพทย์เขาว่าต้องรอดู 1 ปี ก็ต้องรอดูต่อไป แต่ผมมั่นใจว่าเลิกบุหรี่ได้แน่นอน
.
คุณ ปัญจพล เพชรเกษม (มิ้ว) อายุ 29 ปี เป็นเบาหวาน
เมื่อก่อนนี้ ก็คิดว่า เรามีกรรมพันธ์เบาหวานจากคุณแม่ ก็ต้องเป็นเหมือนคุณแม่ทุกอย่าง ตอนแรกๆก็ไม่ได้มีความสุขอะไร แล้วก็ไม่ได้คุมน้ำตาลอะไรเลย กินปกติ ก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวมันก็เป็นไปตามอายุไขเราเอง
ปัจจุบัน ความคิดเปลี่ยนแล้ว คือ การเป็นเบาหวาน เราก็อยู่กับมันได้อย่างมีความสุข
เมื่อก่อนมื้อเช้า จะเป็นข้าว กุนเชียง ไข่เจียว ของทอดๆ มันๆทั้งนั้น เมนูซ้ำๆกัน
ปัจจุบัน มื้อเช้า เป็นข้าวกล้อง แกงจืด สอนพี่เลี้ยงให้ทำแบบนี้ ก็มีคนทำให้ทาน ก็โอเคแล้วครับ
เมื่อก่อน ทำงานไม่ค่อยไหว ผมว่ามันเกี่ยวกับเรื่องกินนะ สูบบุหรี่ กินเหล้า กว่าจะอาบน้ำ แต่งตัว กว่าจะออก ช้ามาก ไม่ค่อยมีแรง พี่รถตู้มารับก็นั่งหลับ
ปัจจุบัน มีแรง ทำอะไรเร็วขึ้น นั่งบนรถก็ไม่หลับ ถึงที่ทำงานก็ทำงานเรียบร้อย
เมื่อก่อน จะหวังไปกินดาบหน้า ที่กองถ่ายมีอะไรก็กินแบบที่มี ไม่ได้เตรียมอะไรไป เขาให้อะไรมา เช่น ข้าวหมูแดง ก็กินแบบนั้น
ปัจจุบัน จะเตรียมอาหารไปทานเอง ให้พี่เลี้ยงเตรียมให้ พวกสลัดน้ำใส พอไปเห็นไก่ที่กองถ่าย ก็เอาไก่เขามาใส่ของเรา
เมื่อก่อน จะกินแค่แตงโม พอมากินชมพู่ ฝรั่ง ก็เอ๊ะ มันก็อร่อยดีนะ ลองกินส้มโอเพิ่มก็ใช้ได้นี่ เพิ่งจะรู้ว่ามันอร่อย อาหารส่วนใหญ่จะเตรียมไปกินเอง ก็ทำให้เกิดการวางแผนการกิน จะได้ไม่ประมาทในชีวิต
เมื่อก่อนจะคิดว่า ยังไงชีวิตเราก็จบไม่สวยหรอก ต้องตัดขา ต้องเป็นโรคไต ต้องฟอกไต แต่เดี๋ยวนี้เราเชื่อว่า เราอยู่กับโรคเบาหวานได้
.
จ.ส.อ.ศาทิพ จิตร์แน่น อายุ 36 ปี
ผมรู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนไปเยอะครับ สุขภาพก็เปลี่ยน รูปร่างก็เปลี่ยน
เมื่อก่อน ตื่นเช้ามา ก็ต้องกินกาแฟใส่น้ำตาล
ปัจจุบัน ยังกินกาแฟอยู่ แต่ไม่ใส่น้ำตาลเลย
ทานข้าว ก็จะสั่ง แกงส้ม ต้มข่าไก่ จะบอกแม่ค้าว่าไม่เอาหนัง แต่ถ้ามีหนังติดมาก็จะเขี่ยมันออก ไข่ต้ม น้ำเปล่า ทำประจำก็จะชินไปเอง
มื้อกลางวัน ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวก็จะสั่งเส้นหมี่ ไก่ฉีก ไม่เอาหนัง ใส่แต่กระเทียมไม่เอาน้ำมัน แล้วก็จะไม่ปรุง เมื่อก่อนจะใส่เยอะมากใส่ทุกอย่าง น้ำปลาสองช้อน น้ำตาล 4-5 ช้อน พริกน้ำส้มอีก แรกเริ่มพอกินแบบไม่ปรุง ก็มันไม่อร่อย จืดๆ แต่พอชินแล้วก็เข้าที่เป็นปกติได้
อาหารว่าง เมื่อก่อนจะเป็นปลาท่องโก๋ หมูปิ้ง ข้าวเหนียว เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนเป็น ผลไม้ที่ไม่ค่อยหวานมาก พวกฝรั่ง มันแกว
แต่มื้อเย็นตอนเริ่มปรับใหม่ๆ มันยากมากเลย เห็นแต่ของอร่อยๆ ทั้งไก่ย่าง มีแต่ของที่เราชอบทั้งนั้น แต่ปัจจุบันไม่กินเลย ไปกินข้าวเย็นเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีจุบจิบ
เมื่อก่อน หลังเลิกงาน ก็นอนดูทีวี แต่พอตั้งเป้าหมายแล้วว่า อยากมีสุขภาพดี อยากเป็นตัวอย่างดีๆให้ลูก ก็เลยเปลี่ยน ก็มีไปออกกำลังกายประจำ
ผมจะเอาคุณพ่อ กับลูก เป็นหลักไว้ในใจ เราทำเพื่อทั้งสองคนนี้แหละ
.
คุณวีรานันท์ แต้ภิรมย์รัตน์ (ส้มโอ) อายุ 25 ปี
เมื่อก่อน ตอนเช้าจะไม่กินข้าว ไม่กินอาหารเช้าอะไร หรือถ้ากินก็จะกิน โกโก้ใส่นม เป็นแก้วๆที่สั่งตามร้านทั่วไป หรือขนมปัง
ปัจจุบัน กินอาหารเช้าให้ครบ 5 หมู่ ทานข้าวกล้อง ใส่ข้าวสารถ้วยนึง หุงทีเดียวเก็บไว้กินได้ 3 วันเลย ถ้าถามว่าลำบากมากขึ้นมั้ย ก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย แถมมีความสุขกับสิ่งที่ทำมากขึ้นด้วย
เลือกซื้อ แกงเลียง แกงเหลือง ผัดผัก ก็กินทุกอย่างที่อยากกิน แต่ก็ต้องเลือกทานผักเยอะหน่อย
เมื่อก่อนชอบกินเผือกทอด ป๊อบคอร์น มันฝรั่งทอด แต่ขนมหวานยังอยากกินอยู่ ไอศครีม น้ำปั่น เค้ก ก็กินแบบน้อยลง
ปัจจุบัน จะกินผลไม้แทน ฝรั่ง แอ๊ปเปิ้ล มะละกอ ไม่เอาพริกเกลือ
เราเป็นคน 2 ขั้ว คือ ถ้าไม่ออกกำลังกายก็จะไม่ออกเลย แต่ถ้าออกแล้ว ก็จะหนักมาก พอเราอยู่บ้านเราเลยคิดว่า ถ้าจะขยับนิดๆหน่อยๆ มันไม่ได้ช่วยอะไรหรอก เลยไม่ทำดีกว่า
เราได้รับความรู้มากขึ้น ลองทำ แล้วมันรู้สึกได้ผล เลยเข้าใจว่า ทำดีกว่าไม่ทำ เล็กๆน้อยๆ ก็ยังดี มันก็ทำให้เรากระฉับกระเฉงด้วย
.
คุณ วัฒนชัย ลิ้มสวัสดิ์ (อุ้ย) อายุ 28 ปี
เมื่อก่อน ตื่นมาจะปวดหัว งัวเงีย กว่าจะลุกได้ก็นาน ต้องเตรียมตัว เตรียมสมอง กว่าจะสูบบุหรี่ ทำกิจวัตร กว่าจะเสร็จก็เป็น ชั่วโมง กว่าจะกินข้าวเช้าก็ไปกินทีเดียวรวบยอดตอนเที่ยง กินทุกอย่างโดยเฉพาะ ปิ้งย่าง คอหมูย่าง
ปัจจุบัน ตื่นมาตีห้า ลุกขึ้นได้เลย ทำกิจวัตรเสร็จแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ออกจากบ้านได้แล้ว ไปออกกำลังกาย ตอนนี้ออกกำลังกายตอนช่วงเช้า เมื่อก่อนออกกำลังกายเช้ากับเย็น แต่มันไม่ไหว
ออกกำลังกายเสร็จ ก็ไปกินข้าวเช้า ตอนเจ็ดโมงครึ่ง เลือกกับข้าวแบบที่ไม่อ้วน อย่างแกงไตปลา ไข่ ผัก ข้าวจานเดียวเดี๋ยวนี้ก็อยู่ได้ อิ่มแล้ว เมื่อก่อนต้องสั่งแบบพิเศษ จัมโบ้
เดี๋ยวนี้ แปดโมงพร้อมจะทำงานแล้ว เหมือนมันมีเวลาเยอะขึ้น
บางทีเราก็คิดว่ามันเหนื่อย คือมันคิดไปเองมากกว่า เดี๋ยวนี้ ตื่นตีห้า ออกกำลังกาย ก็ไม่เห็นเหนื่อยเลย แต่เมื่อก่อนทำอะไรนิดหน่อย ก็รู้สึกว่ามันเหนื่อย ก็ต้องกิน กินขนม กินนู่นกินนี่ตลอด กินเรื่อยๆ ไม่มีอะไรทำก็กิน อย่าไปซีเรียสเลย ใช้ชีวิตไป
แต่ปัจจุบัน แทนที่จะนอน ก็หากิจกรรมทำ ได้อยู่กับครอบครัวด้วย จะซื้อพวกฝรั่ง ปลาแดก ห่อหมก แล้วต้องมีผลไม้ตลอด แบบนี้มีความสุขดีภรรยาให้สัมภาษณ์ว่า เขาเปลี่ยนไปเยอะเลย ที่เห็นได้ชัดเจนมากคือ เขาไม่นอนกรน เมื่อก่อนนอนกรนเสียงดังมาก จนนอนไม่หลับเลย ปัจจุบันหลับสบาย ไร้เสียงกรนที่คิดจะเปลี่ยนเพราะคิดว่า เราต้องดูแลพ่อแม่ แล้วบ้านที่เพิ่งซื้อมา ต้องผ่อนอีก 30 ปี ถ้าเราทำงานไม่ได้ ใครจะมาดูแลเรื่องนี้ ถ้าเราแข็งแรง ทำงาน ก็อาจผ่อนหมดภายใน 5ปี 10ปีก็ได้ใจเราน่ะ รักครอบครัว อยากให้พ่อแม่อยู่อย่างมีความสุข อยากสร้างอนาคตที่ดี
อาสาสมัครทุกคน ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะมีสิ่งหนึ่ง ที่อาจเข้ามาตลอดได้นั่นคือ “ความเครียด” ดังนั้นควรวางแผนจัดการความเครียดของตัวเอง เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีต่อไป
ความเครียดกับเส้นเลือดในสมองแตก
ความเครียดเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อร่างกาย และการเกิดโรคกลุ่ม NCDs เพราะเมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน เช่น อะดรีนาลีน และคอร์ติซอล ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น และผนังหลอดเลือดหดเกร็งเร็วขึ้น และถ้ามีความเครียดสะสมในชีวิตประจำวันมาก ก็เสี่ยงที่จะมีเส้นเลือดในสมองแตกได้
ความเครียดกับไขมัน
ฮอร์โมนความเครียดที่ร่างกายหลั่งออกมา จะไปกระตุ้นให้เซลล์ไขมัน โดยเฉพาะในช่องท้อง จะมีการเก็บสะสมไขมันมากขึ้น ทำให้เป็นโรคอ้วนลงพุง
ความเครียดกับเบาหวาน
ความเครียดจะทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินขึ้น ส่งผลให้เบต้าเซลล์ในตับอ่อน ต้องทำงานหนักขึ้น และค่อยๆเสื่อมสภาพทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยลง ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น จนถึงระดับที่เป็นเบาหวาน
ความเครียดกับบุหรี่
ความเครียดจะกระตุ้นให้นักสูบบุหรี่ ยิ่งสูบหนักขึ้น เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพอง
วิธีลดความเครียด
ทางจิตใจ
- คิดบวก
- สร้างอารมณ์ขัน
- ทำสมาธิ สวดมนต์
ทางร่างกาย
- นอนพักผ่อน
- อาบน้ำอุ่น
- ดูหนัง ฟังเพลง
- ออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการผลิตสารที่ช่วยในการสร้างเส้นใย และเซลล์ประสาท ที่ช่วยในการตัดสินใจ ทำให้แก้ปัญหาได้ดีขึ้น ความเครียดก็จะลดลงไปด้วย
“ลดเครียด ลดโรค”