NCDs Reality ตอนที่1 : NCDs โรคที่คุณสร้างเอง
NCDs Reality ตอนที่1 อีกหนึ่งรายการคุณภาพสนับสนุนโดย สสส.(สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ทางช่อง TPBS เปิดตัว 6 อาสาสมัครที่เสี่ยงต่อโรค NCDs ไขข้อสงสัยโรค NCDs คืออะไร อาสาสมัครทั้ง 6 จะต้องเจอภารกิจใดบ้าง ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง โดยมีสโลแกนว่า “เราเชื่อว่าความรัก จะเป็นตัวขับเคลื
.
สรุป NCDs Reality ตอนที่1
(ถอดความให้สำหรับคนที่ไม่มีเวลาดูคลิป 50 นาที หรือดูคลิปไม่ได้นะคะ)
คนส่วนใหญ่ มักทำอะไรเป็นกิจวัตรเดิมๆ กินแบบเดิมๆ จนเกิดความเคยชิน เราไม่อยากก่อกรรมกับผู้อื่น แต่ก็มักก่อกรรมให้กับร่างกายของเราเอง
กรรม = พฤติกรรม
แสกนกรรม = แสกนพฤติกรรม
ลองแสกนพฤติกรรมตัวเองดูบ้างว่าตรงกับข้อใดต่อไปนี้มั้ย
1. ดื่มเหล้า
2. สูบบุหรี่
3. กินของหวาน มัน เค็ม
4. เครียดบ่อย
5. ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายน้อยกว่า 150 นาที/สัปดาห์
6. มีกรรมพันธุ์ (มีพ่อ แม่ ญาติสายเลือดเดียวกัน เป็นโรคเช่น เบาหวาน หัวใจ อ้วน มะเร็ง โรคปอด)
ถ้าแสกนพฤติกรรมออกมาตรงกับข้อใดข้อหนึ่ง แสดงว่าคุณมีพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อกลุ่มโรค NCDs
.
NCDs ย่อมาจาก Non Communicable Diseases เป็นกลุ่มโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ไม่เกิดจากเชื้อโรค แต่เป็นโรคที่เราสร้างขึ้นมาเอง เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยมักเป็นโรคเรื้อรัง ค่อยๆมีอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆทีละน้อย เป็นแล้วหายยาก และเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งได้แก่
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคปอดเรื้อรัง
- โรคมะเร็ง
- โรคเบาหวาน
- โรคอ้วน
.
ทำความรู้จักกับอาสาสมัครทั้ง 6
อาสาสมัครครอบครัวแรก
คุณเจน (ภรรยา) อายุ 33 ปี อาชีพแม่บ้าน และคุณ สุพิเชษฐ์ สุจารีรัตน์(สามี) อายุ 33 ปี จากอ.บางพลี จ.สมุทรปราการ มีลูก 3 คน ได้แก่ น้องชาญ อายุ 6 ขวบ อยู่ป.1 , น้องชาช่า อายุ 5 ขวบ อนุบาล3 และน้องชัชชา อนุบาล1 3ขวบ
ชีวิตประจำวันคือ คุณสามีจะส่งลูกเสร็จ 8 โมงครึ่ง ก็จะเก็บกินของเหลือๆ ของเด็กๆเป็นอาหารเช้า ส่วนคุณภรรยา กินข้าวเช้าตอน 11 โมง (รวบยอดเช้า-เที่ยง)
ออกกำลังกาย ไม่ได้ออก คุณสามีทำงานหน้าคอม คุณภรรยาทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ ถ้าพาลูกไปเรียนพิเศษ ก็จะนั่งรอ การออกแรงประจำวันก็ถือว่าน้อย สรุปคือ ไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลย การออกกำลังกาย เช่นการวิ่ง ปั่นจักรยาน เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะงานในชีวิตประจำวันนี้ ก็แทบจะหมดเวลาแล้ว
มื้อเย็น 19.30 น. ซึ่งจะเป็นมื้อใหญ่สุด ที่เยอะกว่าทุกมื้อ กินกันพร้อมหน้าพร้อมตา
แรงบันดาลใจ วันหนึ่งลูกหยิบของที่ระลึกเป็นจานใบสวย ที่มีรูปพ่อกับแม่ตอนไปเที่ยวฮ่องกง วางโชว์อยู่
ลูกถามว่า : “รูปใครหรอหม่ามี๊”
แม่ : รูปหม่ามี๊เอง
“น้องเขาไม่รู้ว่าเป็นเรา”
“จำพ่อเขาไม่ได้เลย” คุณเจนเล่า พอลูกทักแบบนี้ ก็เลยคิดว่าน้ำหนักเราคงขึ้นมาเยอะ
อีกเรื่องหนึ่ง ที่น่าจะเป็นจุดที่ทำให้ คุณภรรยาคิดที่จะเปลี่ยนแปลง คือ มีอยู่วันนึงลูกคนที่สอง มาถามคุณแม่
ลูก : “โตขึ้นหนูจะเป็นเหมือนแม่ใช่มั้ย” “หนูจะต้องอ้วนเหมือนหม่ามี้ด้วยใช่มั้ย”
คุณเจนเล่าว่า พอน้องๆพูดแบบนั้น ก็ผงะเลย ก็เลยสอนลูกว่า “ความอ้วนเนี่ยะเป็นสิ่งไม่ดีนะ”
ลูก : “แต่หนูอยากเป็นเหมือนหม่ามี้ ทำไมเป็นไม่ได้ล่ะ”
แม่ : “อย่าเป็นเหมือนหม่ามี๊เลย หม่ามี๊อ้วน มันจะตายเร็ว”
ลูก : “อ้าว ทำไมหม่ามี๊จะตายเร็วเพราะอ้วน”
แล้วน้องเขาก็เริ่มร้องไห้ ลูกๆคนอื่นๆ ก็ได้ยินด้วย เดินเข้ามาก็ร้องไห้ตามๆกัน แล้วบอกว่า “หม่ามี๊จะตายเพราะอ้วนหรอ” เหมือนเขาจะตกใจมาก เขาเข้ามากอด “หนูไม่อยากให้หม่ามี๊ตามเร็ว ผอมได้มั้ยๆ”
เป้าหมายความตั้งใจครั้งนี้คือ “ทำเพื่อลูก ร่างกายแข็งแรง อายุยืน อยากอยู่กับลูกนานๆ”
.
.
อาสาสมัครคนที่สอง
คุณ ภูริวัจน์ ธรรมอัครวิทย์ (นัท) อายุ 34 ปี จากงามวงศ์วาน จ.นนทบุรี เริ่มต้นสูบบุหรี่ตั้งแต่อยู่ ม.4
กิจวัตรประจำวัน รู้สึกว่าเวลาเข้าห้องน้ำ จะต้องสูบบุหรี่ เพื่อให้รู้สึกตื่นตัว ขับถ่ายง่าย มันเป็นความเคยชินมากกว่า จะเริ่มต้นทำอะไรก็ขอสูบก่อน ทำงานอะไรเสร็จก็ขอสูบอีก ถ้าไม่ได้สูบจะหงุดหงิด
เมื่อมาสัมภาษณ์คุณภรรยา เล่าให้ฟังว่า เมื่อ7 ปีก่อน รู้สึกว่าเขาดูเป็นคนสุขภาพดี มีกล้าม ดูรักตัวเอง ใส่ใจตัวเอง นึกว่าเขาจะดูแลเราได้ด้วย แต่พอไม่กี่เดือนหลังจากแต่งงาน ก็เริ่มออกอาการ เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม เลยตกใจว่า นี่ไม่ใช่คนที่เราเจอครั้งแรกนี่นา เขาเปลี่ยนไปมาก ทั้งกินเหล้า สูบบุหรี่
คุณภรรยาบอกว่า อยากให้เลิก แต่คุณสามีบอกว่า ถ้าเขาจะเลิกเขาก็จะเลิกเองแหละ ไม่ต้องให้ใครมาบอก แต่พอเวลาผ่านไป ก็ยังไม่เลิก ทำให้เป็นปัญหาครอบครัว จนต้องแยกกันอยู่ แต่คุณภรรยาก็ยังให้โอกาส ถ้าเปลี่ยนตัวเองได้ ก็จะกลับมา
แรงบันดาลใจคือ ทำเพื่อภรรยา ทำเพื่อตัวเอง และลูก (ซึ่งยังไม่มี แต่อยากมี) อยากเลิกบุหรี่ เพื่อพิสูจน์รักแท้
.
.
อาสาสมัครคนที่สาม
จ.ส.อ.ศาทิพ จิตร์แน่น อายุ 36 ปี “ฝันอยากวิ่งให้ผ่านเกณฑ์ สอบนายทหารสัญญาบัตร” อยากเลื่อนฐานะจาก นายทหารประทวน เป็นนายทหารสัญญาบัตร แต่ติดที่ทดสอบร่างกายไม่ผ่าน คือต้องวิ่ง 2 กิโลเมตร ในเวลาไม่เกิน 12.25 นาที “แต่ผมวิ่งได้ 13-14 นาที”
ยังเล่าต่ออีกว่า มีอยู่วันนึงเล่นบอลกัน มีน้องทหารเข้ามากระแทกเข่า เหมือนจะหลุด แต่ก็ไม่หลุด แต่มันปวดมาก (จุดนี้อาจทำให้ เขารู้สึกว่าต้องดูแลตัวเองได้แล้ว เริ่มกลัวแล้ว)
คุณแม่ก็บอกว่า จะสอบได้หรือไม่ได้ มันก็ขึ้นอยู่กับดวงด้วย แต่ความอ้วนเนี่ยะ มันไม่ใช่ดวงหรอก อ้วนเพราะกินมากเอง แม่ก็เตือน ก็บอก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
แรงบันดาลใจ ที่อยากเปลี่ยนแปลงคือ กลัวโรคความดัน เพราะเมื่อเร็วๆนี้ มีนายทหารเป็นเส้นเลือดในสมองแตก ติดๆกัน 2-3 คนแล้ว แต่ตัวเองคิดว่า ถ้าจะทำได้ ต้องมีคนบังคับ
.
.
อาสาสมัครคนที่สี่
คุณวีรานันท์ แต้ภิรมย์รัตน์ (ส้มโอ) อายุ 25 ปี จากกทม. มีความฝันอยากเป็นนักร้อง แต่คิดว่า ที่ฝันนั้นไม่ได้ซักที เพราะตัวเองอ้วน (แอดมินต้องขอชมว่าหน้าสวยมาก ถ้าหุ่นดี เป็นดาราได้เลยนะเนี่ยะ)
รู้สึกว่าเริ่มอ้วนเมื่อ 2 ปีมานี้เอง ก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่คิดว่าน่าจะมาจาก การมาอยู่หอ ตอนเรียนหนังสือ แล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ ติดหวาน แล้วแฟนก็ชวนกันกินด้วย ทั้งบุฟเฟ่หมูกะทะตอนเย็น
ส่วนแฟนเล่าว่า น้ำหนักน่าจะมาจาก “ความสุข” “สุขมากก็กินมากด้วย” และมีกิจกรรมที่มักทำร่วมกันคือ การกิน ว่างๆก็เปิดเวปว่า ร้านไหนอร่อย ก็พากันไปกิน ไม่มีใครห้ามใครเลย
มีคำพูดนึง พูดกับแฟน ที่ไม่รู้พูดจริงหรือพูดเล่น คือ “ตัวเองรู้มั้ย ถ้าจะลด ต้องอย่าหักดิบ ต้องค่อยๆลด ไม่งั้นมันจะโยโย่” (พูดในขณะที่นั่งกินหมูกะทะเนี่ยะนะ)
ตอนอยู่บ้าน(น่าจะตจว.) จะทำรายการเด็ก แต่ตอนนี้พอกลับไป คนแถวบ้านกลับจำไม่ได้
คุณส้มโอ เรียนเกี่ยวกับการแสดง ต้องมีการซ้อม แล้วก็เลยต้องกิน ซึ่งก็รู้ตัว ว่ามันคือข้ออ้าง พอกลับไปบ้าน(ตจว.) แม่ก็บอกว่า “ทำไมอ้วนอย่างนี้ อย่าบอกคนอื่นนะว่าเป็นลูกชั้น” แม่ไม่กล้าพาออกไปไหนเลย เพื่อนๆก็จำเราไม่ได้ ก็เสียใจนะ แต่มันอ้วนไปแล้ว (น้ำเสียงสั่น) เพื่อนๆเหมือนจะพูดเล่นนะ แต่เรา(พูดไม่ออก เริ่มร้องไห้) ก็บอกแม่ว่าเดี๋ยวก็ลดได้ เพราะเราเคยผอม แต่ก็แอบไปร้องไห้อยู่บ่อยๆ หรือบางทีก็ร้องไห้ต่อหน้าแม่เลย
แรงบันดาลใจ เพราะมีคุณพ่อเป็นโรคความดัน อาม่าก็เป็นความดันเหมือนกัน เราก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน ก็เลยคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องดูแลตัวเอง
.
.
อาสาสมัครคนที่ห้า
คุณ ปัญจพล เพชรเกษม (มิ้ว) อายุ 29 ปี นักมายากล/พิธีกร จากกทม. คุณแม่เป็นโรคเบาหวาน ตั้งแต่ยังไม่ตั้งท้อง แล้วยังมีความดัน หัวใจ โรคไตอีกด้วย จนถึงขั้นต้องตัดขา และเส้นเลือดในสมองแตก ตอนนี้แม่ไม่อยู่แล้ว
ตอนเด็กก็อ้วนนะ แต่ตอนนี้ดูไม่อ้วนเลย “คุณแม่เป็นเบาหวาน ตั้งแต่ผมยังไม่เกิดเลย เห็นแม่ฉีดยาทุกวัน ตัวผมเองเริ่มรู้ว่าเป็นเบาหวานเมื่อ 4 – 5 ปีที่แล้ว เพราะเป็นฝีที่ขาหนีบ แล้วไม่ยอมหายซักที เลยไปตรวจ ต้องกินยาเบาหวาน ตอนนี้น้ำตาล 275 ” พอรู้ว่าตัวเองเป็นเบาหวาน ก็พยายามไม่กินน้ำอัดลม แต่กินชาเขียว เก๊กฮวย นึกว่ามันไม่เป็นไร (ตอบอย่างภูมิใจ แบบขี้เล่น)
แรงบันดาลใจ ต่อสู้กับเบาหวาน เพื่อใช้ชีวิตอย่างปกติ
.
.
อาสาสมัครคนที่หก
คุณ วัฒนชัย ลิ้มสวัสดิ์ (อุ้ย) อายุ 28 ปี อาชีพครีเอทีฟรายการโทรทัศน์ จากกทม. เป็นการทำงานที่มีการเคลื่อนไหวเยอะพอสมควร เขาเริ่มกินเหล้าตอนอายุ 14 สูบบุหรี่ด้วย ก็เห็นคนแก่ๆ อายุ 80 กินเหล้าสูบบุหรี่ ก็ยังอยู่ได้ ไม่เห็นเป็นไร
เมนูประจำคือ ส้มตำ + หนังไก่ 4 ไม้ กินแบบนี้มา 14 ปีแล้ว แต่เมื่อต้นปีที่แล้ว หมอบอกว่า ตับเราเริ่มผิดปกติ มีไขมันในเลือดสูง ความดันเริ่มสูง โคเลสเตอรอลสูง น้ำตาลสูง ถ้าไม่อยากให้สูงไปกว่านี้ ต้องเริ่ม งด ลด และเปลี่ยนพฤติกรรม ยังไม่ต้องกินยานะ แต่ต้องกินยาเกี่ยวกับตับ เหตุมาจากการดื่มเหล้า หมอบอกให้งด ของมัน ของหวาน งดดื่มเหล้า (อันนี้หมอบอก แต่ทำรึป่าวไม่รู้นะ ในคลิปเห็นยังกินทั้งหวาน ทั้งมันอยู่เลย) พอไม่ได้กิน ก็รู้สึกหงุดหงิด
ก็คอยถามตัวเองว่า ทำไมถึงไม่เลิก แต่มันเลิกไม่ได้จริงๆ คุณแม่ก็เป็นเบาหวาน ความดัน 2 วัันก่อนก็ปวดขา ไม่ได้ทำงาน พ่อก็เป็นไมเกรน เราเลยคิดอยากเปลี่ยนตัวเอง เพื่อครอบครัว
แม่ : เขาชอบแบบนั้น ทั้งหมูทอด ของมันๆ แต่แม่ก็คอยเตือนนะ ว่าอย่ากินๆ แต่เราก็ยังหาให้เขากิน เพราะไม่รู้จะเอาอะไรให้เขา รักเขา ก็เตือนเขา แต่ไม่รู้จะฟังเราหรือป่าว
พ่อ : เจอหน้ากันก็ลูบท้อง บอกให้ลดหน่อยๆ
แรงบันดาลใจ ทำเพื่อพ่อกับแม่ เพื่อครอบครัว
.
สรุป สิ่งที่ทั้ง 6 คนนี้มีคือ ความคิดที่อยากจะเปลี่ยนแปลง น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ถอดความจากคลิปด้านบน สำหรับคนไม่มีเวลาดูคลิป 50 นาที หรือดูคลิปไม่ได้นะคะ