ไขมันสีน้ำตาล ช่วยผอม
ไขมันในร่างกายเรามีอยู่ 2 ชนิดคือ ไขมันสีขาว (White fat) และ ไขมันสีน้ำตาล (Brown fat)
ไขมันสีขาว เป็นแหล่งสะสมพลังงานส่วนใหญ่ของร่างกาย ก็ที่เราเห็นเป็นเนื้อยื่นๆ เหลวๆ อ้วนๆของเรานั่นแหละ
ไขมันสีน้ำตาล ก็คือเซลล์ไขมันเหมือนกัน แต่เป็นเซลล์ที่มีไมโตคอนเดรียจำนวนมากกว่า ซึ่งไมโตคอนเดรียนี้จะมีหน้าที่สร้างพลังงาน ยิ่งมีมากก็ยิ่งใช้พลังงานมาก
เด็กมีไขมันสีน้ำตาล มากกว่า ผู้ใหญ่
เด็กจะมีไขมันสีน้ำตาลมากกว่าผู้ใหญ่ ยิ่งอายุมาก ไขมันสีน้ำตาลก็ยิ่งน้อยลง ไขมันสีขาวก็พอกพูนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ไขมันสีน้ำตาลแค่ครึ่งขีด ก็สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้หลายร้อยต่อวัน ซึ่งเทียบได้กับการออกกำลังกายหนักๆ 30 นาทีเลยทีเดียว
นี่เลยทำให้หายสงสัยว่าทำไมเด็กถึงกินเยอะก็ไม่ค่อยอ้วน
ไขมันสีน้ำตาลยิ่งมาก ก็ยิ่งเผาผลาญมาก
ไขมันสีน้ำตาลมักจะอยู่บริเวณรอบคอ ไหล่ ต้นแขน ไหปลาร้า หลัง ซึ่งมันจะอยู่ลึกลงไปชั้นในๆ ไม่เหมือนกับไขมันสีขาวที่เพละออกมาจนเห็นได้ชัดเจน
ยิ่งมีไขมันสีน้ำตาลมาก ก็ยิ่งมีการใช้พลังงานมากขึ้น และก็ยิ่งมีการใช้น้ำตาลมากขึ้นด้วย จะเห็นว่า ไขมันสีน้ำตาลมีประโยชน์กับคนที่อยากลดความอ้วน และคนเป็นเบาหวานมากๆ
วิธีเพิ่มการทำงานของ ไขมันสีน้ำตาล
1. ความเย็น
นักวิจัยเชื่อว่า เมื่อร่างกายอยู่ในอุณหภูมิต่ำๆ หนาวๆ มันจะส่งสัญญาณไปที่สมอง เพื่อไปกระตุ้นไขมันสีน้ำตาลให้ใช้พลังงานมากขึ้นได้
โดยใส่ชุดบางๆแล้วนั่งอยู่ในอุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียสซัก 2 ชั่วโมง จะสามารถกระตุ้นให้ไขมันสีน้ำตาลทำงานเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 100-250 แคลอรี่
หรือออกกำลังกายในห้องแอร์ ที่อุณหภูมิ17 องศาเซลเซียสลงไป แต่อย่าลืมว่าต้องใส่ชุดบางเบา เปิดให้เหงื่อระเหยได้ดีด้วย ยิ่งเป็นเสื้อกล้ามได้ยิ่งดี อย่าใส่เสื้อกันหนาว อย่าทำให้ร่างกายอบอุ่น เพราะความร้อนจะไปยับยั้งการทำงานของไขมันสีน้ำตาล
บางทีก็บอกว่า ให้ถือขวดใส่น้ำแล้วแช่แข็งไว้ กำไว้ตอนออกกำลังกาย หรือเวลาอาบน้ำก็ให้สลับอุณหภูมิจากร้อน(40oc) เป็นเย็น (20oc) สลับไปมาแบบนี้ แต่ก็ต้องระวังสำหรับคนที่มีปัญหาสุขภาพ
2. กินไขมันต่ำ แต่คาร์บสูง
ข้อนี้เขาไม่ได้ระบุชัดเจนว่า อาหารอะไรที่กระตุ้นไขมันสีน้ำตาล แต่พบว่าคนที่กินไขมันสูง คาร์บต่ำ จะพบไขมันสีน้ำตาลน้อย
3. กินแอ๊ปเปิ้ลทั้งเปลือก
ที่เปลือกแอ๊ปเปิ้ลจะมีสาร Ursolic acid ที่ไปเพิ่มไขมันสีน้ำตาลและกล้ามเนื้อ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความอ้วน ปรับสมดุลน้ำตาลได้ดี
ผลไม้ที่มีสาร ursolic acid อื่นๆก็เช่น แครนเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ พลัม พรุน
สมุนไพรที่มีสาร ursolic acid เช่น ออริกาโน ไธม์ ลาเวนเดอร์ กะเพราะ สะระแหน่
เรื่องแช่น้ำเย็นใครอยากลองก็ตามสบายนะคะ เห็นบางคนลงไปแช่น้ำแข็ง เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันก็มี
อย่างเติ้ง เสี่ยวผิง อดีตผู้นำจีนก็ยังบอกว่าเขาอาบน้ำเย็นทุกวัน ยิ่งหน้าหนาว หิมะตก ก็น้ำเย็นๆราดเลย เขาก็สุขภาพแข็งแรงจนวาระสุดท้าย แถมอายุยืนอีกต่างหาก
แต่แอดมินคิดว่าดูจะลงทุนไปซักหน่อยที่ต้องทนหนาว เสี่ยงหวัด เพียงเพื่อให้เผาผลาญมากขึ้น แอดมินขี้หนาวคงไม่กล้าทำแบบนี้ ขอเพิ่มเวลาออกกำลังกายให้มากขึ้นดีกว่าค่ะ
ข้อมูลจาก Reader’s digest