นอนช่วยลดน้ำหนัก
การนอน ถือเป็นหนึ่งใน 3 ปัจจัยหลักในการดูแลสุขภาพ และการลดน้ำหนัก ที่ว่า การกิน การออกกำลังกาย และการนอน การนอนไม่เพียงพอ สะสมกันนานๆ นอกจากจะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง สมาธิถดถอย ความสามารถในการเรียนรู้ลดลงแล้ว ที่สำคัญคือ ทำให้อ้วนขึ้นด้วย เพราะจะทำให้ระบบเผาผลาญแย่ลง หิวมากขึ้น ฮอร์โมนแปรปรวน เหนื่อยง่าย
เรื่องการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นเรื่องที่เราได้ยิน ได้รับคำแนะนำมานานแล้ว ว่าควรนอนหลับสนิท 6-8 ชั่วโมง แต่สำหรับมูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติ (National Sleep Foundation) แนะนำว่า วัยผู้ใหญ่จำเป็นต้องได้รับการพักผ่อน 7 – 9 ชั่วโมง (ว่าแต่ถึงขั้นมีมูลนิธิชื่อนี้เลยนะ แสดงว่าการนอนต้องสำคัญมากๆ)
นอนช่วยลดน้ำหนัก ได้อย่าไร
-
เพิ่ม BMR
การนอนที่เพียงพอ จะไปเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน (BMR) ที่ร่างกายเราต้องใช้เพื่อการหายใจ การเต้นของหัวใจ การสูบฉีดเลือด กระบวนการต่างๆที่ทำให้เรามีชีวิต พูดง่ายๆคือ ทำให้เรามีการเผาผลาญ ที่มากขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
-
ควบคุมฮอร์โมนหิว
การนอนที่เพียงพอ หลับสนิทจริงๆ จะไปเพิ่ม ฮอร์โมนเกรลิน (ghrelin) ที่เป็นฮอร์โมนควบคุมความอยากอาหาร ทำให้เราไม่อยากอาหารโดยไม่จำเป็น และการนอน จะไปลดการสร้างฮอร์โมนเลปทิน (Leptin) ที่เป็นฮอร์โมนทำให้รู้สึกหิว จะทำให้เราไม่หิวเก่ง
-
ไม่กินจุบจิบ
ยิ่งนอนดึกเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากกินมากขึ้น จนอาจกลายเป็นความเคยชิน สมมุติว่า ถ้าเราทานมืื้อเย็นตอน 6 โมงเย็น แล้วต้องตื่น 6 โมงเช้า ก็ควรนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสม ถ้าเลื่อนไปนานกว่านี้ 5 ทุ่ม เที่ยงคืน ก็ต้องหิวแน่นอน
-
ดีทอกซ์สมอง
การนอน จะช่วยดีทอกซ์สมอง ขจัดสารพิษที่อยู่ในสมอง สังเกตุจากเวลาเราตื่นขึ้นมา จะรู้สึกสมองปลอดโปร่ง สดชื่น แถมยังช่วยลดความเสี่ยง ต่อโรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อม นอกจากนี้การนอน ยังช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย
-
มีแรงออกกำลังกาย
ถ้าเราเป็นคนที่ออกกำลังกายอยู่แล้ว การนอนก็ยิ่งสำคัญกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกาย จะเกิดอนุมูลอิสระมาก กล้ามเนื้อมีการล้า ออกซิเจนต้องใช้เยอะกว่าปกติ ถ้านอนไม่พอ ร่างกายก็ไม่มีโอกาสฟื้นฟู จะทำให้รู้สึกอ่อนล้า และก็แน่นอนว่าทำให้ไม่มีแรง ไม่อยากออกกำลังกายไปเลยก็ได้
แต่ถ้าเรากลับจากทำงาน แล้วรู้สึกเหนื่อยมาก แนะนำว่าให้เปลี่ยนไปออกกำลังกายตอนเช้าดีกว่า เพราะถึงจะออกกำลังกายตอนเหนื่อยๆไป ก็ทำได้ไม่เติมที่ เช่น ถ้าปกติต้องตื่น 6 โมงเช้า เราก็ตื่นให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง เพื่อมาออกกำลังกายชดเชยจากเมื่อวาน แล้วนอนให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง แบบนี้จะออกกำลังกายได้ประสิทธิภาพมากกว่า ข้อควรระวังคือ ต้องไม่ให้กลายเป็นการผลัดวันประกันพรุ่งนะ แต่ถ้าการออกกำลังกาย ไม่ได้ไปกระทบอะไรกับการนอน ก็ไม่เป็นไร
.
บทความใน forbes.com ได้อ้างถึงงานวิจัยว่า คนที่นอนเป็นเวลา จะมีเปอร์เซ็นต์ไขมัน ที่ต่ำกว่าคนที่นอนไม่เป็นเวลา และมีการสำรวจ นักศึกษาหญิง 300 คน อายุตั้งแต่ 19-26 ปี ติดตามกิจกรรมการใช้ชีวิตต่างๆ รวมถึงเวลาในการตื่นนอน จำนวนชั่วโมงในการนอน พบว่า
- กลุ่มที่นอนมากกว่า 8 ชั่วโมงครึ่ง จะมีเปอร์เซ็นต์ไขมันน้อยกว่า กลุ่มที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงครึ่ง
- กลุ่มที่นอนหลับสนิทต่อเนื่อง จะมีเปอร์เซ็นต์ไขมันน้อยกว่า กลุ่มที่นอนหลับไม่สนิท
- กลุ่มที่ตื่น และนอน เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน จะมีเปอร์เซ็นต์ไขมันน้อยกว่า กลุ่มที่ตื่น และนอนไม่เป็นเวลา
นอกจากนี้ยังมี การสำรวจในผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกิน และเป็นโรคอ้วน อายุ 35 – 55 ปี สรุปว่า การนอนหลับสนิท และนอนอย่างเพียงพอ จะช่วยเพิ่มโอกาส ในการลดน้ำหนักได้ถึง 33 %
.
การนอนไม่พอ ก็คล้ายๆกับการเป็นหนี้บัตรเครดิต ถ้าเราค้างค่าบัตรเครดิตนานๆ เราก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงๆ ถ้าเราง่วงสะสมกันนานๆ มันต้องมีซักวัน ที่ร่างกายเราก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยเหมือนกัน เคยมั้ยถ้าเราอดนอนแค่วันละ 2 ชั่วโมง ต่อเนื่องกันจันทร์ถึงศุกร์ 5 วัน แทนที่เราจะต้องนอนชดเชยแค่ 10 ชั่วโมง แต่อาจต้องสลบไปมากกว่า 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว แถมตื่นมา ก็ไม่กระปรี้กระเปร่า เหมือนยังนอนไม่พออยู่ดี
คนส่วนใหญ่รู้ทั้งรู้ว่า การนอนให้เพียงพอเป็นเรื่องที่ดี แต่ความงกเวลา บางคนชอบที่จะใช้เวลาให้ได้มากที่สุด ทำงานให้นานที่สุด แต่อาจจะทำงานได้ประสิทธิภาพมากกว่า ถ้าได้นอนเพียงพอ อาจตัดกิจกรรมไร้สาระ ที่ไม่จำเป็นออกไป เอาเวลาไปนอนดีกว่า ลองคำนวณเวลาดูว่า เราต้องตื่นกี่โมง แล้วนับย้อนไป 7 – 8 ชั่วโมง นั่นคือเวลาที่เราต้องนอนแล้ว
แม้ว่าการพักสายตา งีบหลับระหว่างวัน ก็เป็นทางออกหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่า การนอนหลับสนิทต่อเนื่อง ย่อมให้ผลดีกว่า
บางคนอาจมีปัญหาในการนอน ลองปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ เพราะถ้าไปปรึกษาแพทย์ทั่วไป ก็อาจได้ยานอนหลับนั่นเอง แล้วก็อย่าคิดไปหายาทานเอง เพราะผลลัพธ์อาจหนักกว่าการนอนไม่หลับซะอีก
การสร้างสิ่งแวดล้อมในห้องนอน เช่น ปิดไฟ ปิดโทรทัศน์ เครื่องมือสื่อสาร คอมพิวเตอร์ เสียงเข็มนาฬิกา และอย่างอื่นที่จะทำเสียงรบกวน คลื่นรบกวนต่างๆ จัดสรรเวลาให้ติดเป็นนิสัย ถ้าไวต่อคาเฟอีน ก็ไม่ควรทานกาแฟ น้ำอัดลม ชาเข้มๆ ซึ่งคาเฟอีนจะมีผลต่อเนื่องนานถึง 5-7 ชั่วโมงเลยทีเดียว
.
อ้างอิง
เรียบเรียงโดย ezygodiet.com